วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561

วิธีอัปเดท iOS 12 โดยที่ข้อมูลไม่หายไปไหน!

วิธีอัปเดท iOS 12 โดยที่ข้อมูลไม่หายไปไหน!

Apple ปล่อยอัปเดท iOS 12 ตัวเต็มเมื่อคืน แต่เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะยังไม่อัปเดทเนื่องจากคาดว่าทั่วโลกจะแห่อัปเดทพร้อมกัน แน่นอนว่าการที่ทั้งโลกดาวน์โหลดพร้อมกันจะใช้เวลานานมาก ใครที่ยังไม่รีบก็รออัปเดทกันทีหลังได้
สำหรับใครที่ยังกังวลว่าข้อมูลจะหายหรือไม่ วันนี้แบไต๋ขอแนะนำวิธีอัปเดท iOS 12 ง่ายๆ โดยที่ข้อมูลไม่หายเลยครับ
อันดับแรกให้สำรองข้อมูลผ่าน iTunes โดยการเสียบที่เครื่อง แล้วกดปุ่ม Backup จากนั้น iTunes จะสำรองข้อมูลให้ทันที และอีกหนึ่งวิธีคือการสำรองข้อมูลผ่าน iCloud ซึ่งสามารถทำได้โดยการเข้าไปที่ Settings > iCloud ด้านบนสุด iCloud > iCloud Backup จากนั้นกดเป็น On ครับ


แต่ถ้าหากใครมีเนื้อที่บน iCloud ไม่พอผมก็แนะนำให้สำรองข้อมูลผ่าน iTunes จะปลอดภัยที่สุดครับ
จากนั้นสามรถอัปเดตได้ผ่าน Settings > General > Software Update รอสักพักจะมี iOS 12 ขึ้นให้อัปเดทตามมา


ความคิดเห็น:เป็นสิ่งที่ดีเพราะจะได้ใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ
ที่มา:beartai

ปัญหาใหญ่ วัยรุ่นยุคใหม่เลือกแชทกันต่อหน้าแทนที่จะคุยกัน!!

ปัญหาใหญ่ วัยรุ่นยุคใหม่เลือกแชทกันต่อหน้าแทนที่จะคุยกัน!!

                          เหมือนโลกจะหมุนไปไวกว่าที่คิด ล่าสุดสื่อต่างประเทศรายงานว่าตอนนี้วัยรุ่นยุคใหม่กำลังประสบปัญหาเรื่องปริมาณการใช้งานสมาร์ทโฟนที่ค่อนข้างมาก
                          Common Sense รายงานในหัวข้อ Social Media, Social Life: Teens Reveal Their Experiences พบว่า ปริมาณวัยรุ่นที่เลือกที่จะคุยกันต่อหน้านั้นลดลงอีกจาก 49% ในปี 2012 เหลือ 32% ในปี 2018 โดยการแชทเป็นวิธีการสื่อสารที่นิยมที่สุดในขณะนี้
                         นอกจากนี้ปัญหา Cyberbully หรือการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ก็เริ่มมีมากขึ้น จากเดิม 5% ในปี 2012 ดีดขึ้นไปสูงถึง 35% ในปี 2018 แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ปัญหาที่ตัววัยรุ่นอย่างเดียว เพราะวัยรุ่นกว่า 33% เองก็บอกว่าอยากให้ผู้ใหญ่หรือผู้ปกครองใช้เวลากับพวกเขามากขึ้นด้วย ซึ่งมากกว่าขึ้นกว่าปี 2012 ที่ 21%
ยังมีรายละเอียดเพิ่มเติมอีกดังนี้
  • 54% ของวัยรุ่นที่ใช้งาน Social Media มักเป็นคนที่ครุ่นคิดเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน
  • 44% รู้สึกท้อใจเมื่ออยู่ต่อหน้าเพื่อนๆ ที่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์
อย่างไรก็ดี ยังมีจำนวนมากถึง 55% ที่บอกว่าไม่เคยพกของพวกนี้ติดตัวไปด้วยตอนออกไปเที่ยวหรือไปทำกิจกรรมอย่างอื่นกับเพื่อนๆ
ทั้งนี้วัยรุ่นกว่า 2 ใน 3 เชื่อว่า Social Media มีผลเชิงลบจริงๆ และพวกเขาต้องการกลับไปยุคที่ไม่มี Social Media มากกว่า
ความคิดเห็น:คุยทางแชทอาจจะสะดวกมีลูกเล่นหลากหลาย แต่อาจจะไม่สร้างปฏิสัมพันธ์เท่าการคุยกันต่อหน้า
ที่มา:beartai

Google Chrome อัปเดทครบรอบ 10 ปี ปรับดีไซน์ยกเครื่องทั้งเดสก์ท็อปและสมาร์ทโฟน!!

Google Chrome อัปเดทครบรอบ 10 ปี ปรับดีไซน์ยกเครื่องทั้งเดสก์ท็อปและสมาร์ทโฟน!!


ครบรอบ 10 ปีกับ Chrome ล่าสุด Google ได้ปล่อยอัปเดทรุ่นใหม่ล่าสุดมาพร้อมกับการปรับปรุงดีไซน์ใหม่ยกเครื่องทั้งบนเดสก์ท็อปซึ่งรวมถึง Chrome สำหรับ Windows และ Mac และสมาร์ทโฟน
สำหรับบนเดสก์ท็อปนั้นจะมีการปรับเรื่องความโค้งมนที่จุดต่างๆ ในเบราเซอร์ เช่น แท็บแสดงผลเว็บไซท์โค้งมนขึ้น ช่อง URL สำหรับใส่ลิงก์โค้งมนขึ้น รวมถึงปรับสีสันและไอคอนใหม่ทำให้ดูเรียบหรูมากขึ้นด้วย
แท็บสำหรับค้นหาหรือ Omnibox (Address bar) ฉลาดขึ้น สามารถแนะนำสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการค้นหาได้ดีกว่าเดิมโดยไม่ต้องเปิดแท็บใหม่เลยครับ เช่น ข่าววงการบันเทิง สภาพอากาศ ข่าวกีฬา
นอกจากนี้ยังปรับปรุงดีไซน์ของ Chrome สำหรับ iOS โดยเพิ่มแท็บด้านล่างคล้ายๆ กับ Safari เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานด้วยมือเดียวมากขึ้น
ทั้งนี้ Chrome เวอร์ชั่น 69 ได้ปรับปรุงระบบ Autofill ใหม่เล็กน้อย โดยจะมีความแม่นยำมากขึ้นในการใส่รหัส ที่อยู่ และเลขบัตรเครดิต ด้วยการเก็บข้อมูลผ่านบัญชี Google ของผู้ใช้งานเอง และยังสามารถแนะนำรหัสที่ปลอดภัย ยากต่อการแฮ็คอีกด้วย
ความคิดเห็น:เป็นสิ่งดีเพราะทำให้ดูทันสมัยน่าสนใจมากขึ้น
ที่มา:beartai


Google Maps เปลี่ยนการแสดงแผนที่แบบใหม่จากแผ่นกระดาษ 2 มิติ เป็นลูกโลก 3 มิติ



Google Maps เปลี่ยนการแสดงแผนที่แบบใหม่จากแผ่นกระดาษ 2 มิติ เป็นลูกโลก 3 มิติ

Google Maps นำเสนอการอัปเดตแผนที่ใหม่ เมื่อซูมออกจนสุด ก็จะไม่แสดงเป็นผิวเรียบอีกต่อไป แต่มีลักษณะกลมเป็นลูกโลก การเปลี่ยนแปลงจากแผนที่ 2 มิติ เป็นลูกโลก 3 มิติ ทำให้แผนที่แสดงผลพื้นที่บนโลกได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

การอัปเดต 3D Globe Mode

การอัพเดทเป็น 3D Globe Mode เปิดจากโทรศัพท์อาจจะไม่เห็น ถ้าจะใช้ต้องเปิดจากเว็บเบราเซอร์บนคอมพิวเตอร์เท่านั้น และสามารถแสดงได้เกือบทุกเบราเซอร์ ไม่ว่าจะเป็น Google Chrome , Microsoft Edge , และ Firefox
ภาพการแสดงผลแบบ 3D Globe Mode
จากการเปลี่ยนแปลงนี้มีให้ใช้งานบนเดสก์ท็อปเท่านั้น ถ้าใช้เปิดจากโทรศัพท์มือถือก็อาจจะยังเห็นภาพ 2D แบน ๆ เมื่อซูมเข้าออก แต่ในไม่ช้านี้สมาร์ทโฟนก็อาจรองรับการดูแผนที่แบบ 3D ได้
ความคิดเห็น:เป็นสิ่งที่ดีเพราะเวลาที่ศึกษาค้นหาความรู้จะได้มีความแม่ยยำมากขึ้น
ที่มา:beartai

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

TAP แหวนสุดล้ำ พิมพ์แทนคีย์บอร์ดได้ แค่กระดิกนิ้ว

TAP แหวนสุดล้ำ พิมพ์แทนคีย์บอร์ดได้ แค่กระดิกนิ้ว

TAP อุปกรณ์สวมนิ้วสำหรับใช้พิมพ์แทนคีย์บอร์ดที่เคยเปิดตัวมานานแล้ว ล่าสุดก็ได้ฤกษ์ออกรุ่นสมบูรณ์พร้อมวางจำหน่ายเสียที โดย TAP จะเป็นแหวน 5 วงสำหรับสวมนิ้วทั้ง 5 นิ้ว แต่ละวงจะเชื่อมติดกัน ผู้ที่สวม TAP ไว้ที่มือจะสามารถสั่งพิมพ์ตัวอักษรกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้แบบไร้สาย ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ ฯลฯ โดยใช้การขยับนิ้วและมือเพื่อสั่งพิมพ์ สามารถตั้งค่าให้เหมาะสมกับความถนัดได้ผ่านแอปพลิเคชัน TapGenius นอกจากนี้ก็ยังมีแอปฯ TapAloud สำหรับผู้ที่มีปัญหาในการมองเห็นด้วย ซึ่งตัวแอปฯ จะใช้เสียงโต้ตอบกับผู้ใช้แทนการแสดงผลบนหน้าจอ

TAP

          แหวนแต่ละวงของ TAP จะมีเซ็นเซอร์สำหรับตรวจจับการเคลื่อนไหวของนิ้วมือ และที่นิ้วหัวแม่มือจะมีเซ็นเซอร์สำหรับตรวจจับการเคลื่อนไหวสำหรับใช้ควบคุมเคอร์เซอร์แทนเม้าส์โดยเฉพาะอีกด้วย โดยภายใน TAP จะมีแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้นานถึง 6 ชั่วโมงและสแตนด์บายได้นานนับสัปดาห์
          TAP จะวางจำหน่ายในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2560 ที่ราคา $129.99 หรือประมาณ 4,500 บาท มีให้เลือก 2 สีคือ สีขาวและสีดำ โดยจะมาพร้อมเคสพกพาสำหรับใส่ TAP ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ในตัว

          ถือว่าระยะหลัง ๆ นี้มีอุปกรณ์ประเภทแหวนไฮเทคออกมาเยอะพอสมควรเลยทีแล้ว โดยแหวนล้ำ ๆ ที่เคยออกมาก่อนหน้านี้ก็มีทั้ง ORII แหวนสุดล้ำ แค่เอานิ้วแตะหูก็คุยโทรศัพท์ได้ หรือ Echo Ring แหวนแปลภาษาไม่ได้เป็นแค่แหวนแปลภาษา

ความคิดเห็น : คิดว่าเป็นนวัตกรรมที่สะดวกสบายอย่างหนึ่ง แต่อาจเหมือนใช้งานยากไปบ้างแต่สะดวกสบายน่าใช้ประโยชน์
  
                                                        ที่มา : kapook

"ดีแทค" เผย ไม่ทิ้งลูกค้า แม้ว่าจะเปลี่ยนผ่านช่วยสัมปทนาน พร้อมดูแลลูกค้าต่อเนื่อง

"ดีแทค" เผย ไม่ทิ้งลูกค้า แม้ว่าจะเปลี่ยนผ่านช่วยสัมปทนาน พร้อมดูแลลูกค้าต่อเนื่อง

           หลังจากมีการประมูลคลื่น 1800 MHz จบกันไปก่อนหน้านี้ ซึ่งผลออกมาคือ ดีแทค เป็นหนึ่งในผู้ชนะการประมูล แต่ก็ยังมีคำถามค้างอยู่ว่า การดูแลของดีแทคนั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ ด้านดีแทคได้มีการแถลงข่าวออกมาว่า พร้อมดูและรับผิดชอบลูกค้าในช่วยสิ้นสุดสัมปทาน ไม่ให้ซิมดับ
          
 “อเล็กซานดรา ไรช์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค เปิดเผยว่า “เราให้ความสำคัญกับลูกค้าต้องมาก่อน โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนผ่านสัมปทานเราจึงตั้งใจดูแลลูกค้าเราให้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญที่เน้นย้ำ
            เราต้องได้รับอนุมัติแผนความคุ้มครองลูกค้าในกรณีสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทานจาก กสทช. เพื่อลูกค้าดีแทคได้ใช้คลื่น 1800 MHz และ 850 MHz ซึ่งเป็นช่วงคลื่นเดิมของดีแทคที่หมดสัมปทานและไม่ได้ถูกนำไปใช้งาน โดยลูกค้าดีแทคควรได้สิทธิ์ใช้งานอย่างต่อเนื่อง ตามที่ผ่านมาที่ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ได้รับการคุ้มครองตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวในกรณีสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทาน”
              
 ประเด็นสองคือลูกค้าเราอาจได้รับผลกระทบบ้างช่วงเปลี่ยนผ่าน เราพยายามทำให้ดีที่สุด ช่วงนี้เป็นช่วงที่สำคัญเราจะตรงไปตรงมากับลูกค้าให้มากที่สุด
               ถึงแม้จะเป็นช่วงที่ท้าทายแต่ก็เป็นช่วงที่จะมองไปสู่การปรับเปลี่ยนองค์กรที่มุ่งสู่การให้ความสำคัญกับลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น
ดีแทคจะขยายโครงข่ายการบริการทั้งคลื่น 2100 MHz และบริการบนคลื่น 2300 MHz ของทีโอที เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
อเล็กซานดรา  กล่าวเพิ่มเติมว่า “การเข้าสู่มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวในกรณีสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทานนั้นยังเป็นการทำรายได้ให้กับรัฐ ตามข้อกำหนดจะเห็นได้ว่าผู้ให้บริการไม่สามารถแสวงหาผลประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวได้
อีกทั้งตามประกาศ กสทช ยังกำหนดให้รายได้ระหว่างการให้บริการในระยะเวลาคุ้มครองจะต้องเป็นของรัฐ ผู้ให้บริการเป็นเพียงผู้รับรายได้แทนรัฐเท่านั้น เมื่อได้รับรายได้มาผู้ให้บริการทำได้เพียงหักต้นทุนค่าใช้จ่าย
และนำส่วนที่เหลือส่งเข้ารัฐเป็นรายได้ของแผ่นดินต่อไป จึงจะเห็นได้ว่าผู้ให้บริการไม่สามารถแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ ในช่วงดูแลลูกค้า”
ความคิดเห็น : คิดว่าดีแทคควรพัฒนาและต่อยอดไปเรื่อยเพื่อผู้ใช้บริการ
                                                       ที่มา : sanook

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2561

นักวิจัยพยายามพัฒนาหุ่นยนต์ให้แก้ไขความผิดพลาดในการทำงานด้วยตัวเอง

นักวิจัยพยายามพัฒนาหุ่นยนต์ให้แก้ไขความผิดพลาดในการทำงานด้วยตัวเอง

นักวิจัยพยายามพัฒนาหุ่นยนต์ให้แก้ไขความผิดพลาดในการทำงานด้วยตัวเอง

          หุ่นยนต์หลายตัวในโรงงานประกอบรถยนต์ทำงานได้อย่างรวดเร็วกว่าเเละถูกต้องแม่นยำกว่ามนุษย์ เเละไม่เคยต้องหยุดพักอีกด้วย แต่หากทำงานผิดพลาด หุ่นยนต์เหล่านี้จะไม่เข้าใจถึงความผิดพลาด เเละไม่สามารถกลับไปแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้
          เฺฮนนี่ แอดโมนี่ รองศาสตราจารย์ด้านหุ่นยนต์ ที่มหาวิทยาลัยคาร์เนกี้ เมลลอน กล่าวว่า การเข้าใจความผิดพลาดและการแก้ไขเป็นงานที่ยากสำหรับหุ่นยนต์ เพราะต้องใช้ข้อมูลบริบทในระดับที่ยังไม่สามารถพัฒนาได้ในหุ่นยนต์

        รองศาสตราจารย์แอดโมนี่และทีมงานวิจัยซึ่งเป็นนักศึกษาของเธอ กำลังพยายามโปรแกรมให้หุ่นยนต์ชื่อ Baxter ทดลองทำงานเป็นพนักงานร้านของชำ ทำหน้าที่ช่วยหยิบสินค้าใส่ถุง และทีมงานใช้กล้องถ่ายภาพมาตรฐานร่วมกับกล้องถ่ายภาพเเสงอินฟราเรด เพื่อช่วยให้หุ่นยนต์ Baxter จดจำสิ่งของต่างๆ ได้
        รองศาสตราจารย์แอดโมนี่ กล่าวว่า ส่วนที่น่าสนใจมากที่สุดไม่ได้อยู่ที่ความสามารถในการรับรู้เเละเข้าใจในงานที่ทำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่หุ่นยนต์สามารถนำข้อมูลที่เข้าใจไปใช้งานด้านเหตุผลอย่างไร
          แต่ก็เกิดคำถามว่า ถ้าเช่นนั้นทำไมทีมนักวิจัยจึงไม่รวมเอาความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งหมด เเละวิธีการแก้ไข เข้าไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมหุ่นยนต์เสียตั้งเเต่ต้น

           ต่อเรื่องนี้ รองศาสตราจารย์แอดโมนี่กล่าวว่า การรวมเอาข้อผิดพลาดเเละทางแก้เข้าไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ของหุ่นยนต์ไม่มีประสิทธิผลเสมอไปเพราะความผิดพลาดยังมีโอกาสอาจหลุดรอดการทำงานของหุ่นยนต์ไปได้เเละเมื่อเจอกับสถานการณ์ใหม่ หุ่นยนต์ต้องพยายามเข้าใจงานใหม่ตรงหน้า เเละจะต้องตั้งข้อจำกัดใหม่เกี่ยวกับข้อผิดพลาดทั้งหมดอีกครั้ง
           มาถึงขณะนี้ ทีมนักวิจัยกำลังพยายามศึกษาให้เข้าใจว่าหุ่นยนต์นำข้อมูลไปใช้อย่างไร แปลความหมายข้อมูลอย่างไร เพื่อช่วยให้ใช้งานได้ถูกต้องอย่างที่ทีมงานต้องการ
           รองศาสตราจารย์แอดโมนี่ กล่าวว่าไ อเดียนี้อาจฟังดูเป็นนามธรรม เพราะขณะที่คนเราทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่หุ่นยนต์ต้องพึ่งระบบการคำนวณทางคณิตศาสตร์เพื่อช่วยให้สามารถทำงานได้ตามแบบที่คนเราทำ
         รองศาสตราจารย์ เฺฮนนี่ แอดโมนี่ หัวหน้าทีมนักวิจัย กล่าวว่า ยังต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 10-15 ปี ในการพัฒนาหุ่นยนต์ให้เข้าใจเเละแก้ไขความผิดพลาดของตนเองได้

         
            ความคิดเห็นของฉัน : คิดว่าเป็นสิ่งที่ควรพัฒนาให้ดีขึ้นเพราะว่าจะได้สะดวกสบายหรือใช้ประโยชน์จากหุ่นยนต์นี้

                                                             ที่มา : Sanook